เปลี่ยนตัวเองใน 5 นาทีด้วย Growth Mindset Cr. thegrowthmaster.com
นี่คือบทความที่จะทำลายกรอบความคิดเดิม ๆ ที่ฉุดรั้ง ‘ความเก่ง’ ของคุณไว้ในเวลา 5 นาที
Growth Mindset กุญแจสำคัญในการเติบโต
คิดว่าตัวเองไม่เก่ง?ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเก่งหรือไม่เก่ง แต่ Growth Mindset คือ กรอบความคิดที่บอกว่า ‘ทุกคนจะเก่งและเติบโตขึ้นได้อีก’ ในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะกว่าที่เราจะผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ ในปัจจุบันไปได้ ไม่ใช่แค่ต้องรู้จักปรับตัวอย่างเดียว แต่เราต้องปรับ ‘แนวคิด’ หรือ ‘Mindset’ ของเราด้วย
ดังนั้นการปลูกฝังความคิดแบบ Growth Mindset จะช่วยให้เราทุกคนรู้จักพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตัวเองหรือสิ่งต่างๆ รอบตัวให้อยู่ในเวอร์ชันที่ดีขึ้นกว่าเดิม จากการเรียนรู้และความพยายามของเราเอง จนสามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตและความกลัวต่าง ๆ ไปได้
หากลองถามเล่น ๆ ว่า คุณสามารถก้าวผ่านความกลัวของตัวเองได้หรือยัง? ถ้ายัง เราอยากให้คุณลองใช้เวลา 5 นาทีเพื่ออ่านบทความนี้ เพราะนี่คือบทความที่จะช่วยคุณทำลายกรอบความคิดเดิม ๆ ที่ฉุดรั้ง ‘ความเก่ง’ ของคุณไว้ และช่วยให้คุณเปลี่ยนตัวเองใน 5 นาที ด้วย Growth Mindset
ขอเวลา 1 นาทีลองสำรวจตัวเองก่อนไปทำความรู้จักกับ Growth Mindset
ก่อนที่จะไปทำความรู้จักกับ Growth Mindset ให้มากขึ้น เราอยากให้คุณสำรวจตัวเองด้วยการลองตอบคำถามด้านล่างนี้ดูก่อนว่า ‘เห็นด้วย’ หรือ ‘ไม่เห็นด้วย’ (คำถามจากหนังสือ Mindset: ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา โดย Carol S. Dweck) เพื่อดูว่าคุณเป็นคนที่มี Mindset เป็นแบบไหน และคุณพร้อมที่จะเติบโตแล้วหรือยัง?
1. ความฉลาดเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิด ไม่สามารถเปลี่ยนไปได้มากกว่านี้นัก
2. เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ แต่พัฒนาตัวเองให้ฉลาด/เก่งขึ้นไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
3. คุณจะฉลาดแค่ไหน แต่คุณก็สามารถพัฒนาตัวเองให้เก่งยิ่งขึ้นไปอีกได้
4. คุณสามารถพัฒนาตัวเองให้ฉลาดขึ้นได้อย่างมหาศาล
หลังจากที่ได้สำรวจตัวเองไปแล้ว มาดูว่าคุณเป็นคนที่มี Mindset แบบไหนกัน
ถ้าคุณเห็นด้วยกับข้อ 1 และ 2 แปลว่าคุณมีความคิดแบบ Fixed Mindset หรือความคิดตายตัว
ถ้าคุณเห็นด้วยกับข้อ 3 และ 4 แปลว่าคุณมีความคิดแบบ Growth Mindset หรือความคิดแบบเติบโต
หลังจากที่คุณรู้แล้วว่าคุณเป็นคนที่มี Mindset แบบไหน ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะไปทำความรู้จักกับ Fixed Mindset และ Growth Mindset ให้มากขึ้นกันแล้ว ไปดูกันต่อได้เลย
ความแตกต่างระหว่าง Fixed Mindset และ Growth Mindset
หากพูดถึงคำว่า Mindset ตามการศึกษาของ Carol S. Dweck นักจิตวิทยาและศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เธอได้กล่าวไว้ว่า “วิธีคิดทั่วไปหลัก ๆ ของเราแบ่งเป็น 2 ประเภทด้วยกัน คือ Fixed Mindset และ Growth Mindset” ซึ่งทั้ง 2 แนวคิด มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้
Fixed Mindset กรอบความคิดแบบตายตัวที่ทำให้คุณไม่พัฒนาไปไหน
Fixed Mindset คือ กรอบความคิดแบบตายตัวที่ทำให้เราคิดอยู่เสมอว่าตัวเองไม่สามารถพัฒนาให้เก่งขึ้นได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นศักยภาพของตัวเอง แต่เชื่อมั่นว่าไม่ต้องฝึกเพิ่ม ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มก็เก่งอยู่แล้ว
เก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องฝึกเพิ่มก็เก่งอยู่ดี
หรือการเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นที่เก่งกว่า เมื่อหันกลับมามองตัวเอง ก็มักจะมีความคิดกับตัวเองเสมอว่า ‘ฝึกเพิ่มไปก็ไม่เก่งขึ้นเท่าคนนั้นอยู่ดี’ มองว่าความพยายามและความตั้งใจไม่คุ้มค่า เพราะฉะนั้นไม่ฝึกเพิ่มดีกว่า ฝึกไปก็ไม่เก่งเท่าเขา เอาชนะไม่ได้อยู่ดี
ไม่เก่ง ฝึกเพิ่มไปก็ไม่เก่งอยู่ดี
Fixed Mindset จึงเป็นความคิดที่ทำให้เรา ‘กลัว’ ที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง(โดยที่บางครั้งเราก็ไม่รู้ตัว) ไม่กล้าที่จะออกจาก Comfort Zone ไปลองทำสิ่งใหม่ ๆ เพราะมองว่าแบบเดิมมันดีอยู่แล้ว ทำแบบใหม่ก็กลัวจะแย่ อย่าเปลี่ยนแปลงอะไรเลยดีกว่า หรือพยายามไปก็ไม่ได้ดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ตัวอย่างความคิดของคนที่มี Fixed Mindset เช่น
ทุกคนน่าจะเคยคิดไปเองหรือมีคนมาพูดคำพูดแนว ๆ นี้ใส่ตัวเองบ้างมาแล้ว พอฟังแล้วก็รู้สึกเฟล ท้อแท้ นั่งคิดกับตัวเองว่า ‘หรือเราจะไม่มีอะไรดีจริง ๆ’ จนกลายเป็น Fixed Mindset เป็นความคิดที่ติดอยู่ในหัวว่า ‘เราทำไม่ได้หรอก’ แต่ The Growth Master จะบอกคุณว่า “คุณเปลี่ยนมันได้อย่างแน่นอน ถ้าคุณเปลี่ยน Mindset”
“You can do anything you set your mind to.” – Benjamin Franklin
Growth Mindset กรอบความคิดแบบเติบโตที่ทำให้คุณกล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง
Growth Mindset คือ แนวคิดที่ทำให้เรามองว่าอุปสรรคไม่ใช่ปัญหาในการเรียนรู้หรือทำสิ่งต่าง ๆ แต่เป็นโอกาสที่ทำให้เราเชื่อว่าความสามารถของตัวเองสามารถพัฒนามากขึ้นไปอีก ผ่านการทำงานหนัก การเรียนรู้ หรือการได้ ‘ลอง’ สิ่งใหม่ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้าไม่ลองลงมือทำดู ใครจะไปรู้ เราอาจจะทำได้ดีกว่าที่คิดเสียอีก
“A growth mindset is when students understand that their abilities can be developed,” – Carol S. Dweck
ถ้าหากให้คุณลองดูตัวอย่างการคิดกลับกัน ระหว่างการมี Growth Mindset และ Fixed Mindset ซึ่งคนที่มี Growth Mindset จะมีแนวคิดว่า
ดังนั้นแล้ว หนึ่งในหัวใจของการมี Growth Mindset ก็คือ การลองผิดลองถูก หรือการค้นหาว่าทางไหนที่เราทำแล้วมันเวิร์กหรือไม่เวิร์ก เพราะถ้าหากทางนั้นมันไม่เวิร์กจริง ๆ เราก็สามารถไปหาทางสู่ความสำเร็จด้วยวิธีอื่นได้ ซึ่งมันน่าเสียดายนะที่ความสำเร็จอยู่ใกล้คุณมากกว่าที่คิด แต่ความกลัวที่จะล้มเหลวมันกลับเป็นสิ่งที่รั้งคุณไว้ให้คุณหยุดอยู่แค่นั้น
พอพูดถึงการลองผิดลองถูกแล้ว ดูเหมือนว่าการทดลองลงมือทำอะไรสักอย่างซ้ำไปซ้ำมาเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นรอบ มันเป็นตัวเลขที่เยอะจนน่ากลัว แต่เชื่อเถอะว่าไม่มีการทดลองไหนที่ไม่ใช้เวลาและการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือใหญ่ยักษ์ก็ตาม ที่สำคัญ คือ ในทุก ๆ การทดลองเราจะได้เรียนรู้อะไรบางอย่างแน่นอน
หลายครั้งการทดลองของเรา ก็อาจจะไม่ได้สำเร็จในครั้งที่ 1-2-3-4 แต่ใครจะรู้ คุณอาจจะประสบความสำเร็จในครั้งที่ 5 ก็ได้ ดังนั้นอย่าหยุดทำตั้งแต่ครั้งที่ 4 เลย (ถึงแม้จะสำเร็จในครั้งที่ 4 ก็ควรทดลองทำต่อไปในครั้งที่ 5-6-7-8… ไปเรื่อย ๆ เพื่อตามหาผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิมอยู่เสมอ)
“I have not failed. I’ve just found 10,000 ways that won’t work.”– Thomas A. Edison
ลองปรับแนวคิดแบบ Fixed Mindset ให้เป็น Growth Mindset
หลังจากที่คุณได้รู้แล้วว่า Growth Mindset กับ Fixed Mindset มีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง หลายคนก็ได้ลองสังเกตตัวเองและรู้สึกว่า ‘ตอนนี้เราก็เป็นคนที่มีทั้ง Growth Mindset และ Fixed Mindset นี่นา แย่แล้ว’
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องรู้สึกผิดกับตัวเองที่เป็นแบบนั้น เพราะแน่นอนว่าเราคงไม่ได้มี Growth Mindset หรือ Fixed Mindset ไปกับทุกเรื่องอยู่แล้ว แม้จะมี Fixed Mindset กับบางเรื่อง แต่เราก็สามารถเปลี่ยนมุมมองกับสิ่งนั้นใหม่ได้เสมอ ลองมาค่อย ๆ เปลี่ยนให้ตัวเองมาเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นกว่านี้กัน
หากคุณยังจำคำถาม 4 ข้อที่เราถามคุณไปตั้งแต่เริ่มบทความได้ และถ้าคุณได้ผลลัพธ์ว่าคุณเป็นคนที่มีความคิดอยู่ในข้อ 1 และ 2 (Fixed Mindset) ลองเปลี่ยนให้เป็นข้อ 3 และ 4 (Growth Mindset) ดู จากนั้นลองเปลี่ยนคำในบรรทัดแรกให้เป็นอีกแนวคิดกัน เช่น
พออ่านแล้วก็อาจจะฟังดูน่าขำว่า ‘การคิดใหม่แค่นี้จะไปเปลี่ยนอะไรได้’ เราอยากบอกว่า ‘มันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น’ เพราะถ้าคุณไม่คิดว่าแนวคิดมันเปลี่ยนได้ และคุณจะไม่พยายามเปลี่ยนมันเลย อันนี้แหละ ‘โอกาสเป็นศูนย์ของจริง’
Growth Mindset ช่วยให้คุณเรียนรู้ได้อย่างไรบ้าง?
นอกจาก Growth Mindset จะช่วยให้เราได้เปลี่ยนแปลงและเติบโตแล้ว ยังช่วยให้เราได้เรียนรู้ในด้านต่าง ๆ อีก เช่น
บอกกับตัวเองว่า “ดีนะที่เราได้ลอง ถึงแม้ว่ามันจะสะดุดบ้างก็เถอะ” มากกว่าที่จะเป็น “ทำไมถึงไม่รู้มาก่อนนะ” จริงอยู่ที่เราไม่ต้องรู้ก่อนในทุก ๆ เรื่องก็ได้ เพราะชีวิตคนเราไม่ได้ยาวมากพอที่จะเรียนรู้ทุกอย่างได้ แต่คุณคิดแบบเดียวกับเราไหมว่า การเรียนรู้ระหว่างทางมีความหมาย และทำให้คุณพัฒนาตัวเองมากกว่าการฟังว่าคนอื่นเจออะไรมาบ้าง
หรือถ้าคุณยังมองไม่เห็นภาพรวมของการมี Growth Mindset ขอให้คุณสละเวลาสักครู่ลองอ่านบทความเหล่านี้ดูก่อน เชื่อว่าหลังจากอ่านจบ คุณน่าจะเห็นภาพรวมของการมี Growth Mindset มากขึ้นแน่นอน
สรุป 3 ขั้นตอนการสร้าง Growth Mindset
1. รู้และเข้าใจว่าพฤติกรรมไหนของคุณเป็น Fixed/Growth Mindset
เพราะการที่รู้และเข้าใจว่าพฤติกรรมไหนของคุณเป็น Fixed Mindset หรือ Growth Mindset จะช่วยให้เรารู้ว่าควรจะเปลี่ยนความคิดของคุณแบบไหนให้ดีขึ้นและเติบโตกว่าเดิมได้อีก (เหมือนที่ยกตัวอย่างไปข้างต้น)
2. เลือกเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาตัวเองจาก ‘ยึดติด’ ให้เป็น ‘เติบโต’
เราอยากให้คุณลองเลือกว่า ‘เสียใจที่ทำไปแล้วไม่สำเร็จ’ กับ ‘เสียใจที่ยังไม่เคยลองทำดูเลย’ แบบไหนที่คุณจะรู้สึกเสียใจมากกว่ากัน?
จากความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน และการที่ได้ลองพูดคุยกับคนรอบข้าง…
พอลองมานั่งถามตัวเองกับคนรอบข้างด้วยคำถามเดียวกันข้างต้น คนส่วนมาก (รวมถึงตัวเราเอง) มีความคิดว่า ตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมามักจะรู้สึกเสียใจกับคำตอบแบบหลังมากกว่า เพราะถ้าเป็นความเสียใจแบบแรก อย่างน้อยก็ได้ลองลงมือทำแล้ว และรู้ตัวแล้วว่ามันไม่เวิร์ก แต่มันก็ทำให้ทั้งพวกเขาและเราได้เรียนรู้เรื่องราวระหว่างทาง ทำให้สามารถมองหาทางอื่นที่ดีกว่า ทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นกว่าเดิมได้
กลับกันถ้าเป็นแบบหลัง มันทั้งรู้สึกเสียใจและเสียดายปนกัน และมักจะมีคำว่า ‘รู้แบบนี้ ทำแบบนั้นดีกว่า’ ออกมาเสมอ ดังนั้นอย่าให้ประโยคนี้มันออกมาจากคุณบ่อยนักเลย (ซึ่งเราเข้าใจดีว่าเงื่อนไขและช่วงจังหวะชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ก็อย่าเพิ่งยึดติด ยอมแพ้ และไม่กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะความคิดนั้นเลย)
มาถึงตอนนี้เราอยากให้คุณลองสำรวจตัวเองอีกครั้งว่า คุณรู้สึกเสียใจแบบไหนมากกว่ากัน? (ลองตอบตัวเองดูนะคะ) อย่ากลัวที่จะลองผิดลองถูกเพื่อเรียนรู้ อย่างที่บอก ถ้าคุณเลือกที่จะ ‘หยุด’ ก็เท่ากับคุณเลือกที่จะ ‘แพ้’ ให้กับกรอบเดิม ๆ
3. เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นในทุก ๆ วัน
คอยพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าคุณคิดว่ามันพัฒนาต่อไม่ได้แล้ว ลองคิดว่าสิ่งที่ต้องทำมันเป็นภารกิจในเกมดู เมื่อเลเวลของคุณสูงขึ้น ค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้มันก็ต้องมากขึ้นด้วยเหมือนกัน เป็นตัวเองคนเมื่อวานว่าดีแล้ว แต่เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่าเมื่อวาน มันเจ๋งกว่าใช่ไหมล่ะ?
แต่สำหรับใครที่อยากมองเห็นภาพตัวเองในเวอร์ชันที่ดีขึ้นแบบค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป และมีการติดตามและวัดผลพัฒนาการของตัวเองง่ายขึ้น เราขอแนะนำ The Growth Planner สมุดแพลนเนอร์จาก The Growth Master ที่จะช่วยทำให้คุณตั้งเป้าหมายเป็นคุณคนที่ดีกว่าเดิม ซึ่งคุณสามารถจดบันทึกได้ทุกวัน เห็นผลทุกเดือน วิเคราะห์ได้ทั้งปี มาพร้อมกับฟีเจอร์ที่มากกว่าสมุดแพลนเนอร์ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น…
ลองให้การวางเป้าหมายของคุณทำได้สนุกและมีประสิทธิภาพกว่าเดิม ด้วย The Growth Planner ในราคา 990 บาท (พร้อมส่งและจัดส่งฟรีถึงบ้านคุณ) กดที่รูปด้านล่างเพื่อดูหน้าตาภายในเล่มและรายละเอียดวิธีการใช้งานทั้งหมดได้เลย
จงเป็นแก้วใบที่ใหญ่ขึ้นเสมอ
เพราะความล้มเหลวไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ประสบความสำเร็จ ถ้าคุณล้มเหลวและเรียนรู้มัน จริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงความคิดที่เรามีมาตลอดไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่ามันเปลี่ยนได้
‘ฝึกฝนและพัฒนา’ เป็นกุญแจสำคัญมากกว่าพรสวรรค์ใด ๆ ทุกครั้งที่คุณรู้สึกว่าน้ำในแก้วของคุณเริ่มเต็ม ไม่คิดเหรอคะว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่แก้วของคุณจะต้องใหญ่ขึ้น เพื่อรับน้ำที่มากขึ้น ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการเติบโตนะคะ :-)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น